Morocco โอ้โหทะลทราย
เมืองคาซาบลังกา (Casablanca) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศโมร็อกโก แต่ไม่ได้เป็นเมืองหลวงของประเทศโมร็อกโกนะจ๊ะ คำว่า คาซาบลังกา (Casablanca) มีความหมายในภาษาสเปนว่าบ้านสีขาว เพราะอาคารบ้านเรือนทั้งเมืองส่วนใหญ่ถูกสร้างด้วยสีขาว แต่เดิมที่นี่แค่เมืองท่าเล็กๆ ต่อมาโด่งดังและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เมื่อภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันกับชื่อเมือง นำแสดงโดย ฮัมฟรีย์โบการ์ด และอินกริดเบิร์กแมน ออกฉายในปี ค.ศ. 1942 จนปัจจุบันเมืองคาซาบลังกาก็กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศโมร็อกโก ความเจริญของโลกยุคใหม่ทำให้เมืองนี้พลุกพล่าน และแม้เป็นเมืองที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็สามารถมองเห็นหญิงสาวในชุดแฟชั่นตะวันตกได้ไม่ยาก นักท่องเที่ยวที่เที่ยวเมืองคาซาบลังกา จะสามารถนั่งจิบชาในร้านรวงที่ยื่นออกมาบนบาทวิถีแบบเดียวกับที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะในอดีตเคยเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสมาก่อน
จตุรัสโมฮัมเหม็ดที่ 5 (Place Mohamed V) บริเวณนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยอาคารราชการต่างๆ ธนาคาร และไปรษณีย์กลาง ผ่านชม โบสถ์คาซาบลังกา (Casablanca Cathedral) มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมสีขาวสไตล์ยุโรปที่มีกลิ่นอายของโมร็อกโกผสมอยู่ด้วย ผ่านชม จัตุรัสสหประชาชาติ (United Nations Square) ย่านธุรกิจ การเมือง และ การค้าสำคัญของเมือง ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของเมืองคาซาบลังกาเลยก็กล่าวได้ ผ่านชม ตลาดกลาง (Central Market) ที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยว ผ่านชม โรงภาพยนตร์ประจำเมือง (Rialto Cinema) ถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโค สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1930

สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1993 ในวาระเฉลิมพระชนมายุครบ 60 พรรษา ของพระองค์ มีความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างที่สุดในประเทศโมร็อกโก โดยมีการเปิดการเข้าร่วมกองทุนขึ้นเพื่อใช้ในการสร้าง โดยมีชาวโมร็อกโกมากกว่า 12 ล้านคนร่วมบริจาคเงินเพื่อสร้างสุเหร่าแห่งนี้ ภายในสุเหร่าสามารถรองรับคนได้ถึง 25,000 คน ภายนอกสุเหร่าในอาณาเขตอีก 80,000 คน มีหอคอยสูง 210 เมตร เด่นเป็นสง่า ที่สามารถมองเห็นจากทุกมุมของเมือง ถูกจัดอันดับให้เป็นสุเหร่าที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของสุเหร่าที่มีความยิ่งใหญ่สวยงามระดับโลก เป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่เก่าแก่นัก ใช้เวลาสร้างประมาณ 6 ปี แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1993 หรือประมาณ 22 ปีมาแล้ว อีกทั้งท่านยังประสงค์ที่จะสร้างให้เป็นสุสานเพื่อระลึกถึงพระราชบิดาอีกด้วย นอกจากนี้ยังถือเป็นสถานที่สำคัญในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเมื่อประมุขของประเทศใดมาเยี่ยมเยือน ก็มักจะมาเยี่ยมชมและสามารถสักการะสุสานของพระราชบิดาของพระองค์ได้ด้วย
สุสานกษัตริย์มูฮัมหมัดที่ 5 (Mausoleum of Mohammed V) ตัวสุสานก็โดดเด่นเพราะเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดใหญ่ตัดกับสีเขียวของหลังคา สุสานแห่งนี้สร้างเสร็จในปี 1971 ภายใต้พระราชดำริของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 ด้วยจุดประสงค์เพื่อถวายพระเกียรติแด่กษัตริย์มูฮัมหมัดที่ 5 ผู้ทรงเป็นกำลังสำคัญในการทำให้ประเทศโมร็อกโกถูกปลดจากการกดขี่จากประเทศฝรั่งเศส ต่อมาสุสานกษัตริย์มูฮัมหมัดที่ 5 ก็ยังได้กลายเป็นสุสานของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เองรวมถึงเจ้าชายอับดัลลาห์ หลังสวรรคต การสร้างและตกแต่งทั้งภายนอกภายในสุสานนั้นสง่างามสมกับเป็นสุสานของกษัตริย์ โดยเฉพาะภายในที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนสีขาวและหินแกรนิต ตกแต่งด้วยศิลปะแบบดั้งเดิมผสมผสานกับแบบสมัยใหม่ ทำให้สุสานแห่งนี้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกทั้งในด้านของสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์
เมืองแฟ็ส (Fes) เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่บนพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ (Rif Mountain) ทางตอนเหนือกับเขตเทือกเขาแอตลาสตอนกลาง (Middle Atlas) มีแม่น้ำแฟ็ส (River Fes) ไหลผ่านกลางเมือง มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศโมร็อกโก เดินทางข้ามภูมิประเทศเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้สองข้างทางเปลี่ยนสภาพเป็นป่าไม้พุ่ม และสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา (Middle Atlas)
พระราชวังหลวงแห่งเมืองแฟ็ส (Royal Palace of Fes) ใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งโมร็อกโกระหว่างเสด็จประพาสเมืองแฟ็ส สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1276 สมัยราชวงศ์เมรินิด บริเวณด้านหน้าของพระราชวัง มีประตูสูงเป็นรูปโค้งเกือกม้าสีทองอร่าม ถึง 7 บาน สื่อถึงวันทั้งเจ็ดของสัปดาห์ บานประตูทำจากทองเหลืองประดับด้วยไม้ซีดาร์บรรจงแกะสลักอย่างประณีตและหินอ่อน ตามแบบฉบับของศิลปะแบบอิสลาม บนพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 800,000 ตารางเมตร ** ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวหรือบุคคลทั่วไปเข้าชมภายใน **

เมอเดอร์ซ่า บู อิมมาเนีย (Merdersa Bou Imania) เป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรม แบบมัวร์ที่สวยงามประณีต ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 10,000 ซอย จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กะทะ อุปกรณ์เครื่องครัว แขวนห้อยเรียงราย ย่านขายพรมที่แผ่ขึงไว้อย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รสและกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ระหว่างที่เดินตามทางในย่าน แฟ็ส เมดินา ท่านจะได้พบกับ น้ำพุธรรมชาติ (Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมได้ล้างหน้า และ ล้างมื้อ บริเวณมัสยิด

ทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara) ทะเลทรายในทวีปแอฟริกาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากทะเลทรายในทวีปแอน ตาร์กติกา (Antarctica) ของประเทศโมร็อกโก ผ่านชมชมทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ของภูเขาหินที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิลของหอยและแมงกะพรุนโบราณในอดีตเมื่อ 350 ล้านปีก่อน ซึ่งดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลมาก่อน เมืองเมอร์ซูการ์เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่บริเวณใต้สุดของประเทศโมร็อกโก
เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) เมืองที่ได้รับสมญานามว่า เป็น “ฮอลลีวูด แห่งโมร็อกโก” (Hollywood Morocco) เนื่องจากภาพยนต์ฮอลลีวูดหลายเรื่องได้มาถ่ายทำที่เมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็น Cleo pattra , The Mummy , Kingdom of Heaven , Lawrence of Arabia และอีกว่าหลายพันเรื่อง ที่เลือกใช้เมืองนี้เป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์ ทั้งนี้เพราะลักษณะภูมิประเทศที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แบบชนเผ่าเบอร์เบอร์ เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในปี ค.ศ. 1928 ในอดีตประเทศฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่่ให้เป็นศูนย์กลางทางการบริการ เมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขาแอตลาสที่มีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาว กับ ป้อมเทาว์เรอร์ (Taourirt Kasbah) เป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ จำนวนมากซ่อนอยู่ เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกัน

เมืองมาร์ราเคช (Marakesh) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเป็นเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิดช่วง ศ.ต. ที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่าเมืองสีชมพู (Pink City) อาจกล่าวได้ว่าเมืองมาร์ราเคช เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งจึงได้รับสมญานามว่าเป็น “A City of Drama” นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1985
คำเตือน : อย่าหายใจแรงนะรัวงทรายเข้าจมูก ฮัดเช้ย!! -o-